Abstract:
การศึกษาผลของการตัดขยายระยะต่อการเติบโตและการเจริญทดแทนตามธรรมชาติในสวนป่าไม้ ต่างถิ่น ทำการศึกษาการเติบโต ของไม้ต้น ไม้รุ่น และกล้าไม้ ก่อนและหลังการตัดขยายระยะ และศึกษา สิ่งแวดล้อมบางประการภายหลังการตัดขยายระยะ เพื่อเป็นแนวทางและข้อเสนอแนะที่จะจัดการสวนป่าให้ มีความยั่งยืน โดยศึกษาพื้นที่สวนป่าไม้ต่างถิ่นเชิงผสม แบ่งระดับความหนักเบาในการตัดขยายระยะเป็น 3 ระดับ คือแปลงที่ทำการตัดขยายระยะร้อยละ 20 ร้อยละ 40 ของพื้นที่หน้าตัดและไม่ได้ทำการตัดขยายระยะ เปรียบเทียบปัจจัยความหลากชนิด ดัชนีความหลากหลายของชนิดพรรณ ความหนาแน่นของหมู่ไม้ และ เส้นผานศูนย์กล่าง ความสูง ปริมาตร พื้นที่หน้าตัดรวม ดัชนีพื้นที่ใบ และการปกคลุมเรือนยอดก่อนและ หลังการตัดขยายระยะรวมทั้งอุณหภูมิและความเข้มแสง ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน (analysis of variance : ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยวิธี Duncan s new multiple range test (DMRT) ผลการศึกษาพบว่าข้อมูลสังคมพืชส่วนใหญ่มีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) ระหว่างความหนักเบาในการตัดขยายระย่ะ ในบางช่วงการศึกษาความหนาแน่นของหมู่ไม้ ดัชนีพื้นที่ใบ ร้อยละการปกคลุมเรือนยอด มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p<0.05) อัตราการเติบโตสัมพัทธ์ ด้านเส้นผ่านศูนย์กลางของไม้ต้นในแปลงตัดขยายระยะต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทาง สถิติ (p≥0.05) แต่อัตราการเติบโตสัมพัทธ์ด้านความสูงสูงสุดในแปลงตัดขยายระยะร้อยละ 40 มีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p<0.05) ดัชนีความหลากหลายของชนิดพรรณของกล้าไม้ ในช่วง เดือนที่ 6 หลังการตัดขยายระยะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) อุณหภูมิเฉลี่ย อุณหภูมิสูงสุด ความเข้มแสงเฉลี่ย และความเข้มแสงสูงสุดในแปลงที่ไม่ได้ทำการตัดขยายระมีค่าน้อยที่สุด แต่แปลงที่ทำการตัดขยายระยะร้อยละ 40 มีค่าสูงที่สุด ดังนั้นการจัดการสวนป่าในพื้นที่ป่าบนพื้นที่สูง โดยใช้วิธีการตัดขยายระยะร้อยละ 20 และร้อยละ 40 ไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และ สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืนได้ แต่ยังคงต้องคำนึงถึงความหนาแน่นของไม้ที่ เหลืออยู่ภายหลังการตัดขยายระยะ หากรูปแบบป่าสาธิตที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน การตัดขยายระยะร้อยละ 40 สามารถนำไปเป็นรูปแบบการจัดการสวนป่าบนพื้นที่สูงเพื่อความยั่งยืนได้
The study of thinning effect on growth and natural regeneration in exotic tree species plantations were conducted on growth of trees, saplings, and seedings before and after thinning. Some environmental factors after thinning were studied. These aimed to provide a management guideline in sustainable forest plantation. The study site were mixed exotic tree plantations with three thinning levels of 20%, 40% of basal area and no thinning. Species richness, diversity index, density, diameter at 1.30 m above ground, height, total basal area, leaf area index (LAI), canopy cover, and light intensity were collected before and after thinning. These were analysed by analysis of variance and then compared the averages by Duncan's new multiple range test (DMRT). The result showed that there had non significant differences (p≥0.05) in plant community characteristics among thining levels mostly but there were found the significant differences (p<0.05) on tree density, LAI, and canopy cover in some study periods. There was no significant difference (p≥0.05) on relative growth rate, however, 20% thinning plot was found the highest of height relative growth rate significantly (p<0.05). Seeding diversity index at six months after thinning were significant (p≥0.05). The average temperature, maximun temperature, average light intensity, and maximun light intensity were lowest values in no thinning plot, on the other hand, there were highest values in 40% thinning plot. Thus, the management of highland forest plantation by 20% and 40% thinning were not affected the changing of the environment. It can be used as a guideline for sustainable forest plantation management. Besides, the consideration on remaining of tree density after thinning is needed. The 40% thinning is recommended to practice in a sustainable highland forest plantation.