ผลของการเพิ่มการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกปลายแขนเข้าไปร่วมกับการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกแกนกลาง ลำตัวสำหรับการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
Impact of adding distal forearm bone densitometry on axial bone densitometry for the diagnosis of osteoporosis
Abstract:
การตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกแกนกลางลำตัวเป็นวิธีมาตรฐาน ในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน การเพิ่มการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกปลายแขน เข้ามาร่วมในการวินิจฉัยยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาการเพิ่มขึ้น ในการวินิจฉัยว่าเป็นกระดูกพรุนเมื่อเพิ่มความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกปลายแขนข้างที่ไม่ถนัดเข้ามาร่วมกับการแปลผลความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกแกนกลางลำตัว วัตถุประสงค์รอง เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับความไม่สอดคล้องกันในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน โดยการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกสันหลัง กระดูกต้นขา และกระดูกปลายแขน
การวิจัยนี้ทำในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 45 ปีและชาย อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี ที่เข้ารับการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกทั้ง 3 ตำแหน่งที่ศูนย์สุขภาพพร้อม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 และเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยทำการทบทวนย้อนหลังและแปลผลค่า T-score ของกระดูก แต่ละตำแหน่งตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก จากนั้นประเมินการเพิ่มขึ้นของขั้นการวินิจฉัยเมื่อนำความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกปลายแขนมาร่วมกับความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกแกนกลางลำตัว การค้นหาปัจจัยที่น่าจะมีความสัมพันธ์กับความไม่สอดคล้องหลักในการวินิจฉัยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเอกนามและพหุคูณ โดยความไม่สอดคล้องหลักหมายถึง การวินิจฉัยหนึ่งเป็นกระดูกพรุนและอีกอันหนึ่งเป็นความหนาแน่นมวลกระดูกปกติ
กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 881 คน ได้รับการวิเคราะห์ เพศหญิง 621 คน (ร้อยละ 70.5) เพศชาย 260 คน (ร้อยละ 29.5) อายุเฉลี่ย 59.2 ± 6.7 ปี (ระหว่าง 45 ถึง 85 ปี) การเพิ่มการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกปลายแขนเข้าไปร่วมกับการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกแกนกลางลำตัวเพิ่มการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนในกลุ่มตัวอย่าง 83 คน (ร้อยละ 9.4) เพศหญิง 66 คน (ร้อยละ 10.6) เพศชาย 17 คน (ร้อยละ 6.5) ความชุกของความไม่สอดคล้องหลัก ความไม่สอดคล้องรอง และความสอดคล้องกันระหว่าง T-score ของกระดูกสันหลังและกระดูกต้นขาเท่ากับร้อยละ 1.7, 35.0 และ 63.3 ตามลำดับ และระหว่างกระดูกแกนกลางลำตัวและกระดูกปลายแขนเท่ากับร้อยละ 3.2, 40.5 และ 56.3 ตามลำดับ การมีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 65 ปี เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความไม่สอดคล้องหลักของกระดูกสันหลังและกระดูกต้นขา (adjusted OR of 5.11, 95% CI = 1.35-19.33) และความไม่สอดคล้องหลัก ของกระดูกแกนกลางลำตัวและกระดูกปลายแขน (adjusted OR of 2.7, 95% CI = 1.24-5.87) ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ เพศ ดัชนีมวลกาย ประวัติกระดูกหัก ประวัติกระดูกสะโพกหักในบิดา/มารดา ประวัติการใช้สเตียรอยด์ ประวัติกระดูกสันหลังเสื่อมคดโค้ง อายุที่หมดประจำเดือน การหมดประจำเดือนก่อนวัย และระยะเวลาที่หมดประจำเดือนไม่สัมพันธ์กับความไม่สอดคล้องหลัก
การนำความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกปลายแขนเข้าไปร่วมกับความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกแกนกลางลำตัวเพิ่มการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนในกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 9.4 อย่างน้อย 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกของกระดูกสันหลัง กระดูกต้นขา และกระดูกปลายแขนมีความไม่สอดคล้องกันในการวินิจฉัย การมีอายุมากเป็นปัจจัยเสี่ยงของความไม่สอดคล้องหลักในการวินิจฉัย
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
©copyrights มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง