การพัฒนาความคงตัวของกรดแอสคอร์บิกในตำรับอิมัลชันแบบน้ำมันในน้ำ
Stability enhancement of ascorbic acid in oil-in-water emulsion
Abstract:
กรดแอสคอร์บิกมีประโยชน์อย่างมากในวงการเครื่องสําอาง โดยพบว่ามี คุณสมบัติใน
การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ผิว คุณสมบัติเป็นสารลดการผลิตเม็ดสี ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีของผิว ปรับสภาพ สีผิวให้ขาวกระจ่างใส อย่างไรก็ตามกรดแอสคอร์บิกมีความไม่เสถียร ถูกทำลายด้วยแสงและออกซิเจน อุณหภูมิสูง สภาพความเป็นด่าง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความ
คงตัวของกรดแอสคอร์บิกในตำรับอิมัลชัน โดยศึกษาความคงตัวในสารละลาย Polyols ที่แตกต่างกัน ได้แก่ Glycerin, Propylene glycol, Butylene glycol และ Polyethylene glycol-400 และศึกษาผลของสารต้านอนุมูลอิสระที่เติมเพิ่มลงไปในตำรับ ได้แก่ Tocopheryl acetate, Olive oil และ Ferulic acid โดยหาปริมาณกรดแอสคอร์บิกที่คงอยู่ในตำรับที่ 7 วัน, 14, 21 และ 50 วัน ด้วยวิธีการไทเทรต พบว่าปริมาณที่คงเหลือของกรดแอสคอร์บิกในตำรับ แปรผันตามชนิดและปริมาณของ Polyols ที่เติมลงไปในตำรับ โดย Glycerin 40% w/w ทำให้กรดแอสคอร์บิกที่ 50 วัน มีปริมาณคงเหลืออยู่มากที่สุดที่ 91.08 ± 0.66% รองลงมาคือ Propylene glycol 40% w/w ที่ 87.46 ± 2.05% Polyethylene glycol-400 40% w/w ที่ 87.04 ± 1.17% และน้อยที่สุดคือ Butylene glycol 40% w/w ที่ 85.96 ± 1.18% ส่วนผลของสารต้านอนุมูลอิสระที่เติมเพิ่มลงไปในตำรับ
โดยศึกษาในสารละลาย Glycerin พบว่าปริมาณที่คงเหลือของกรดแอสคอร์บิกในตำรับ แปรผันตามชนิดและปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระที่เติมเข้าไป โดยสารต้านอนุมูลอิสระ 1% การเติมTocopheryl Acetate ทำให้ปริมาณที่คงเหลือของกรดแอสคอร์บิกที่ 50 วันอยู่มากที่สุดที่ 91.86 ± 1.13% รองลงมาคือ Ferulic acid ที่ 90.01 ± 1.33% และน้อยที่สุดคือ Olive oil ที่ 83.57 ± 1.28% จากการศึกษานี้ แนะนำให้ใช้ Glycerin และเพิ่ม Tocopheryl acetate เข้าไปในระบบ เนื่องจากสามารถชะลอการสลายตัวของกรดแอสคอร์บิกได้ดีที่สุด
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
©copyrights มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง