การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างแฟรกชั่นแนลเออร์เปียมแย็กเลเซอร์แบบแบ่งส่วน 2940 นาโนเมตร เทียบกัยบการทากรดเตรติโนอิน 0.05% ในการรักษาแผลเป็นหลุมสิว
A Comparative study between fractional erbium: yaglaser 2940 NM and tretinoin cream 0.05% for the treatment of atrophic acne scar
Organization :
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
Abstract:
แผลเป็นหลุมสิว เป็นปัญหาด้านความงามที่พบบ่อย และกระทบต่อคุณภาพชีวิต ปัจจุบันการรักษาหลุมสิวยังมีประสิทธิภาพน้อย และผลข้างเคียงมาก การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แฟรกชั่นแนลเออร์เบียมแย็กเลเซอร์ซึ่งเป็นเลเซอร์ชนิดใหม่ในการรักษาหลุมสิว โดยได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 23 คน ที่มีหลุมสิวบริเวณใบหน้า ระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง ได้รับการสุ่มให้ใบหน้าด้านหนึ่งรักษาด้วยแฟรกชั่นแนลเออร์เบียมแย็กเลเซอร์ 3 ครั้ง ทุก 1 เดือน ส่วนอีกด้านได้รับการรักษาโดยทากรดเตรติโนอิน 0.05% วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน ทาทุกวันติดต่อกัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ประเมินผลการรักษาโดยการเปรียบเทียบการตื้นขึ้นของหลุมสิวจากภาพถ่ายใช้เกณฑ์ quartile grading scale ประเมินปริมาตรหลุมสิวและค่าความหยาบเฉลี่ยของผิวโดยใช้เครื่อง visioscan ประเมินความพึงพอใจของอาสาสมัคร และผลข้างเคียงในการรักษาสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 12 ผลการวิจัยพบว่า เมื่อติดตามผลที่ 12 สัปดาห์ กลุ่มเลเซอร์มีร้อยละของการตื้นขึ้นของหลุมสิวมากกว่ากลุ่มที่ทากรดเตรติโนอิน (ร้อยละ 95.6 ต่อ 73.9, p = 0.021) กลุ่มเลเซอร์มีค่าปริมาตรหลุมสิวลดลงมากกว่ากลุ่มที่ทากรดเตรติโนอิน (39.5 (7.7) ต่อ 42.9 (10.2), p = 0.028) กลุ่มเลเซอร์มีค่าความหยาบของผิวลดลงมากกว่ากลุ่มที่ทากรดเตรติโนอิน (39.7 (5.7) ต่อ 43.9 (6.7), p = 0.005) และกลุ่มเลเซอร์มีความพึงพอใจมากกว่ากลุ่มที่ทากรดเตรติโนอิน (4.04 (0.64) ต่อ 3.17 (0.83), p = 0.0017) ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในกลุ่มเลเซอร์ พบมีรอยแดง แสบร้อนหลังทำเลเซอร์ชั่วคราว และผิวแห้ง สรุปคือ กลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยเลเซอร์ มีค่าความตื้นขึ้นของหลุมสิวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทากรดเตรติโนอิน 0.05%
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา
CallNumber:
วพ. WR430 น276ก 2562
©copyrights มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง