Computer multimedia lessons based on the webquest learning approach for grade 8 bhutanese history students

Name: Yonten Jamtsho

Organization : Rangsit University

Name: Maneepan Apibalsri

Organization : Rangsit University

keyword: WebQuest (Web-based instruction)

LCSH: MULTIMEDIA SYSTEMS IN EDUCATION

LCSH: PROGRAMMED INSTRUCTION

LCSH: WEB-BASED INSTRUCTION

LCSH: ACTIVITY PROGRAMS IN EDUCATION

Abstract: The purposes of this mixed method study were: 1) to compare the learning achievement of the students in the experimental group who used computer multimedia lessons based on the WebQuest learning approach with those in the control group who used the traditional strategy in studying history content on the Second World war, 2) to compare the learning achievements of the students in the experimental group before and after studying the history content on the Second World War by the use of computer multimedia lessons based on the WebQuest learning approach, and 3) to describe the opinions of the students in the experimental group towards the use of computer multimedia lessons based on the WebQuest learning approach in studying history content on the Second World War. The population of this study was 285 Grade 8 Bhutanese students from 6 schools in the Lhuntse District. All 60 Grade 8 students who were studying history in the 2nd semester of the Academic Year 2015 in one of the schools were selected as participants in the study by the cluster random sampling method to form the experimental and control groups. Both groups consisted of 30 students each. The instruments used were lesson plans; computer multimedia lessons based on the WebQuest learning approach; the pretest and posttest; and students’ and teacher’s reflective journals. The statistics employed for data analysis were mean (𝑥̅) , standard deviation (SD) and independent t-test. The qualitative data were analyzed using the grounded theory proposed by Strauss and Corbin’s (1998). The coding process included 3 levels of analyses: open, axial and selective coding. In terms of quantitative data analysis, the result analysis found that there was a statistically significant difference of 0.01 (p<0.025) between the experimental and control groups’ learning achievement in the posttest. It showed that the participants in the experimental group have reached higher learning achievement compared to those participants in the control group. The learning achievement of the students in the experimental group was higher in the posttest than the pretest with the significance level of 0.00 (p<0025). It showed that the computer multimedia lessons based on the WebQuest learning approach improved the students’ learning achievement. In terms of qualitative data analysis, the computer multimedia lessons based on WebQuest learning approach assisted students in gaining extra information. Videos and pictures helped them to better understand the history content of the Second World War, fostered interaction and cooperative learning, encouraged the participants’ independent learning and made the lesson interesting and enjoyable."

Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบทเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ของนักเรียนที่เรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์สื่อประสมตามแนวคิดวิธีการเรียนแบบแสวงรู้และการเรียนแบบปกติ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางทางการเรียนบทเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในกลุ่มทดลองก่อนการ เรียนและหลังการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์สื่อประสมตามแนวคิดวิธีการเรียนแบบแสวงรู้ 3) พรรณนาความคิดเห็นของนักเรียนในกลุ่มทดลองที่มีต่อการเรียนบทเรียนสื่อประสมตามแนวคิดวิธีการเรียนแบบแสวงรู้ ประชากรในการศึกษาได้แก่ นักเรียนภูฐานเกรด 8 จำพวก285 คน ในโรงเรียนในเขตการปกครอง Lhuntse กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนภูฐานเกรด 8 ซึ่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวนทั้งหมด 60 คน ในโรงเรียนหนึ่งของเขตการปกครอง Lhuntse โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม และแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจำนวนกลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ บทเรียนสื่อประสมตามแนวคิดวิธีการเรียนแบบแสวงรู้ อนุทินสะท้อนความคิดของนักเรียนและอนุทินสะท้อนความคิดของครู วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย (𝑥̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และการทดสอบค่าที (t) สำหรับกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้ทฤษฎีฐานรากของ Strauss และ Corbin (1988) โดยการเปิดรหัส การจัดกลุ่มข้อมูล และการเลือกข้อมูล จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณพบว่าเมื่อเปรียบเทียบคะแนนค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากคะแนนสอบหลังเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 (p < 0.025) แสดงให้เห็นว่านักเรียนในกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนในกลุ่มควบคุม และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนในกลุ่มทดลองพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.00 (p<0025) แสดงให้เห็นว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์สื่อประสมตามแนวคิดวิธีการเรียนแบบแสวงรู้ได้พัฒนาผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพพบว่าบทเรียนสื่อประสมตามแนวคิดวิธีการเรียนแบบแสวงรู้ช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ดีขึ้นทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้แบบร่วมมือ สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและทำให้นักเรียนสนุกกับการเรียน

King Mongkut's University of Technology North Bangkok. Central Library

Address: Bangkok

Email: library@kmutnb.ac.th

Created: 2560

Modified: 2018-03-06

Issued: 2018-03-06

บทความ/Article

application/pdf

BibliograpyCitation : วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์. ปีที่ 10, ฉบับที่ 1 ‪(ม.ค.-มิ.ย. 60)‬, หน้า 62-74

eng

©copyrights King Mongkut's University of Technology North Bangkok

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	art_60_100106.pdf	422.77 KB	32	2024-09-23 22:40:57

ใช้เวลา

0.016997 วินาที