การศึกษาประสิทธิผลของ TISTR-GSE จากเมล็ดองุ่นพันธุ์ป๊อกดำ (Vitis vinifera CV. ribier) ในรูปแบบนาโนอิมัลชั่นต่อการลดลงของฝ้าและจุดด่างดำในอาสมัคร

The efficacy of Tistr-GSE nanoemulsion from vitis vinifera CV. ribier (Pok Dum) on skin melasma in volunteers

Efficacy of Tistr-GSE nanoemulsion from vitis vinifera CV. ribier (Pok Dum) on skin melasma in volunteers

Name: ภมรมาส กลับเผื่อน

Organization : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

Name: Pamornmas Klubpuan

keyword: เมล็ดองุ่นพันธุ์ป๊อกดำ

ThaSH: ฝ้า -- การใช้รักษา

Classification :.LCCS: WR141

Abstract: ภูมิหลัง ฝ้า คือ ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำงานมากกว่าปกติที่พบได้บ่อย ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัยมากระตุ้น แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน การรักษาฝ้าเป็นเรื่องที่ท้าทาย และยังคงต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่องระยะยาว การศึกษาก่อนหน้านี้ พบว่า สารสำคัญที่พบในเมล็ดองุ่นสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และทำให้สีผิวขาวขึ้น ดังนั้น TISTR-GSE จากเมล็ดองุ่นพันธุ์ป๊อกดำ (Vitis Vinifera cv.Ribier) ในรูปแบบนาโนอิมัลชั่นอาจมีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าได้ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของ TISTR-GSE (TISTR = Thailand Institute of Scientific and Technological Research), (GSE = Grape Seed Extract) ในการรักษาฝ้าและจุดด่างดำ รวมทั้งผลข้างเคียงของการใช้ TISTR-GSE ในการรักษาฝ้าและจุดด่างดำ วิธีการศึกษา อาสาสมัครที่มีฝ้าและจุดด่างดำจำนวน 17 คน ได้รับการตรวจระดับความเข้มของฝ้าก่อนการรักษา หลังจากกนั้นอาสาสมัครจะถูกสุ่มเลือกใบหน้าด้านซ้ายหรือขวา โดยใบหน้าด้านหนึ่งจะได้ทา TISTR-GSE และ อีกด้านหนึ่งจะได้ทานาโนอิมัลชั่นพื้นฐาน (Base) เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประเมินผลการรักษาด้วย Mexameter® MX18 เป็นค่าระดับความเข้มฝ้า Mean Melanin Index (MMI) และ ระดับความรุนแรงของฝ้า Melasma Area and Severity Index (MASI score) ในสัปดาห์ที่ 0, 4, 8 ร่วมกับการสอบถามระดับความพึงพอใจของอาสาสมัคร และ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการทา ผลการรักษา พบว่าการใช้ TISTR-GSE สามารถลดความเข้มของฝ้าได้ดีมากขึ้น เมื่อวัดจากค่าความเข้มของฝ้า โดยพบความแตกต่างตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4 เป็นต้นไป โดยที่กลุ่มที่ทา TISTR-GSE มีค่าเฉลี่ย MMI ก่อนการรักษา 248.50±55.29 ภายหลังการรักษา 222.45±43.71 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p = 0.001) กลุ่มที่ทานาโนอิมัลชั่นพื้นฐาน (Base) มีค่าเฉลี่ย MMI ก่อนการรักษา (สัปดาห์ที่ 0) 244.05±54.41 ภายหลังการรักษา(สัปดาห์ที่ 8) 250.00±56.03 ลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p = 0.149) ส่วนค่า MASI score ในกลุ่มที่ทา TISTR-GSE ก่อนการรักษา 7.23±3.04 ภายหลังการรักษา 5.81±2.40 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p = 0.001) กลุ่มที่ทานาโนอิมัลชั่น (Base) ก่อนการรักษา 6.73±2.81 ภายหลังการรักษา 6.19±2.63 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p = 0.007) สรุป จากผลการทดลองพบว่า TISTR-GSE ช่วยลดความเข้มฝ้าและระดับความรุนแรงของฝ้าได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อเทียบกับนาโนอิมัลชั่น (Base) โดยมีผลข้างเคียงน้อย จึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาฝ้า

Abstract: Melasma is a common, acquired hypermelanosis. The exact cause is unknown. However, many factors have been implicated in the etiopathogenesis of this disorder. The management of melasma is challenging and requires a long-term treatment plan. The previous studies confirmed that grape seed extract suppressed melanin synthesis and could be whitening agent in vitro and animal studies. Therefore, grape seed extract may have potential to treat melasma. Objective: The purpose of this study the efficacy and side effect of TISTR-GSE (TISTR = Thailand Institute of Scientific and Technological Research), (GSE = Grape Seed Extract) Nanoemulsion from Vitis Vinifera cv. Ribier (Pok Dum) on skin melasma. Materials and Methods: The study enrolled 17 volunteers who have melasma on their face were double-blind randomly split face. TISTR-GSE was applied on one side of face and Nanoemulsion (Base) on another side of face for 8 weeks. Results from each treatment were evaluated by using Mexameter® MX18 for MMI (Mean Melanin Index) and Melasma Area and Severity Index (MASI score) for weeks 0, 4, 8. Satisfaction level and side effect were also monitored. Results: all of the volunteers were complete the treatment protocol (17 volunteers). The study showed TISTR-GSE group showed a statistically significant improvements over the control group in efficacy assessment of MMI from the 4th weeks to the end of treatment. By the study group had the decreasing mean of MMI before receiving treatment 248.50±55.29, the end of treatment (8th weeks) 222.45±43.71, decreased statistically significant 0.05 (p = 0.001). Nanoemulsion (Base) showed mean of MMI before receiving treatment 244.05±54.41 after treatment (8th weeks) 250.00±56.03, no statistically significant decline. (p = 0.149). However, the MASI score TISTR-GSE showed before receiving treatment 7.23±3.04, the end of treatment 5.81±2.40, decreased statistically significant 0.05 (p = 0.001). Nanoemulsion (Base) showed mean of MASI score before receiving treatment 6.73±2.81 the end of treatment 6.19±2.63 decreased statistically significant 0.05 (p = 0.007). Conclusion: The result indicate that TISTR-GSE can potentially improve the melasma when compared with Nanoemulsion (Base) with minimal side effect and may be an alternative medicine for treatment of melasma.

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา

Address: เชียงราย

Email: library@mfu.ac.th

Name: จรัสพล รินทระ

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: ประไพภัทร คลังทรัพย์

Role: อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม

Created: 2558

Issued: 2016

Modified: 2020-04-20

Issued: 2559-11-11

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: วพ. WR141 ภ168ก 2558

tha

DegreeName: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: วิทยาศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ

Grantor: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

©copyrights มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Pamornmas Klubpuan.pdf	2.62 MB	69	2025-08-31 21:11:23

ใช้เวลา

0.021226 วินาที