ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการตรวจมะเร็งปากมดลูกของสตรี อายุ 30-60 ปี ตำบลตะคร้ำเอน อำเภอท่ามะกาจังหวัดกาญจนบุรี

FACTORS RELATED TO USING A SERVICE OF CERVICAL CANCER TEST OF 30-60 YEARS OLD WOMEN IN TAMBON TAKRUM-EN, THAMAKA, KANCHANABURI

Name: จิตรบรรจง เชียงทอง

keyword: มะเร็งปากมดลูก

ThaSH: ปากมดลูก -- มะเร็ง

Classification :.DDC: 616.994

Abstract: การวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการตรวจมะเร็งปากมดลูกของสตรี อายุ 30-60 ปี ตำบลตะคร้ำเอน อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อศึกษาลักษณะทางสังคม ระดับของความตระหนักรู้ในระบบสุขภาพด้านสุขภาพอนามัยและการได้รับความรู้ การจูงใจจากคนคุ้นเคย และการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการตรวจมะเร็งปากมดลูก และเพื่อศึกษาข้อเสนอแนะของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้สตรีไปตรวจมะเร็งปากมดลูกครบถ้วน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สตรีอายุตั้งแต่ 30-60 ปี ทั้งที่สมรส และยังไม่สมรส ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกมาก่อนจำนวนกลุ่มละ 200 คน รวม 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น โดยใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้ไคกำลังสอง (chi-square test) ผลการวิจัยพบว่า สตรีที่เข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ร้อยละ 48.50 มีอายุในช่วง 41-50 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพการสมรสเป็นคู่ มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา มีอาชีพหลักคือรับจ้างและมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท กลุ่มสตรีที่เคยเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกมีความตระหนักรู้ในระบบสุขภาพด้านสุขภาพอนามัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ด้านการรับรู้ถึงความรุนแรงของโรคมะเร็งปากมดลูก และด้านการรับรู้ถึงผลประโยชน์และอุปสรรคที่จะได้รับจากการตรวจมะเร็งปากมดลูก ดีกว่ากลุ่มสตรีที่ไม่เคยเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกและส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก 2 ปีต่อครั้ง การทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุ สถานภาพการสมรส และระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยสตรีที่มีคู่สมรสจะเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกมากกว่าสตรีที่เป็นโสด สตรีที่เป็นหม้าย หย่าหรือแยกกันอยู่กับคู่สมรส ส่วนอาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก แหล่งของการได้รับข้อมูลข่าวสารในเรื่องที่เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกของกลุ่มสตรีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากคนคุ้นเคย และการได้รับความรู้และจูงใจจากคนคุ้นเคยในการให้คำแนะนำ ชักชวน การจูงใจให้เข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยส่วนใหญ่ได้รับความรู้และจูงใจจากอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ผลการทดสอบความตระหนักรู้ในระบบสุขภาพในภาพรวม พบว่า มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเมื่อพิจารณาระดับความรู้ในระบบสุขภาพอนามัยเป็นรายด้าน พบว่า ความรู้ด้านการรับรู้ถึงความรุนแรงของโรคมะเร็งปากมดลูก มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้ารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีความสัมพันธ์ทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ ขณะที่ความรู้ด้านอื่น ๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูก และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้สตรีไปตรวจมะเร็งปากมดลูกครบถ้วนมากที่สุด คือ การบริการด้านข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ชัดเจน เพียงพอ และเหมาะสม

Kanchanaburi Rajabhat University.

Address: KANCHANABURI

Email: tdc@kru.ac.th

Name: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธง บุญเรือง

Role: ประธานกรรมการควบคุม

Created: 2557

Modified: 2559-08-24

Issued: 2559-08-24

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

CallNumber: 616.994

tha

Level: Master's Degree

Descipline: Social Sciences for Development

Grantor: มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Jitbunjong Chiengthong.pdf	6.14 MB	242	2024-08-28 16:06:49

ใช้เวลา

0.037013 วินาที