แจ้งเอกสารไม่ครบถ้วน, ไม่ตรงกับชื่อเรื่อง หรือมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับเอกสาร ติดต่อที่นี่ ==>
หากไม่มีอีเมลผู้รับให้กรอก thailis-noc@uni.net.th ติดต่อเจ้าหน้าที่เจ้าของเอกสาร กรณีเอกสารไม่ครบหรือไม่ตรง

การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1
Practice of Professional Ethical Codes of School Administrators under Ubon Ratchathani Primary Education Service Area 1

keyword: จรรยาบรรณวิชาชีพ
Classification :.DDC: 371.2
; ผู้บริหารสถานศึกษา
Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 และเปรียบเทียบ ความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 โดยจำแนกตามเพศ ตำแหน่งหน้าที่ และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตาราง Krejcie & Morgan ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวนทั้งหมด 488 คน แยกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา 163 คน และครูผู้สอน 325 คน ทำการสุ่มจากประชากรโดยใช้วิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ คือแบ่งกลุ่มตามอำเภอที่ตั้งของโรงเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 1 ทดสอบค่า t และการทดสอบค่า F เมื่อพบความแตกต่างอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ ทำการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยใช้วิธีการ Scheffe’ ผลการวิจัยพบว่า 1. ข้าราชการครูมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 โดยรวมและรายด้าน มีจรรยาบรรณในระดับมากโดยเรียงจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านจรรยาบรรณต่อตนเอง ด้านจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ด้านจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ด้านจรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ด้านจรรยาบรรณต่อสังคม 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อการปฏิบัติตนตาม จรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 1 โดยจำแนกตาม เพศ ตำแหน่งหน้าที่ และประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า 2.1 ข้าราชการครูที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านจรรยาบรรณต่อตนเอง ด้านจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ด้านจรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ด้านจรรยาบรรณต่อสังคม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.2 ข้าราชการครูที่มีตำแหน่งหน้าที่ต่างกันมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพ ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.3 ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมด้านจรรยาบรรณต่อสังคม มีจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านจรรยาบรรณต่อตนเอง ด้านจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ด้านจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ มีจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และด้านจรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพมีจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะอื่นๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านจรรยาบรรณต่อตนเอง ว่าผู้บริหารควรปฏิบัติตนมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทั้งด้าน ทักษะ และความคิด การวางแผนต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆเพื่อให้ทันกับยุคโลกาภิวัตน์ ด้านจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ว่าผู้บริหารควรปฏิบัติตามกฎระเบียบ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคลากรในโรงเรียนตลอดจนนักเรียน ทั้งในและนอกเวลา ด้านจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ว่าผู้บริหารควรมีการส่งเสริม ผลักดัน ให้นักเรียนปฏิบัติตนเป็นคนดี และให้ห่างไกลยาเสพติด ด้านจรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ว่าผู้บริหารควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาครูให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เช่นสนับสนุนให้ครูเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น หรืออบรมในหลักสูตรใหม่ๆ ที่ทันต่อสถานการณ์ และด้านจรรยาบรรณต่อสังคม ว่าผู้บริหารควรสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนอย่างสม่ำเสมอ และผู้บริหารควรสนับสนุนให้นักเรียนมีส่วนช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนที่ตนอาศัย ให้มีความสามัคคีกันในชุมชน This research aimed 1) to investigate the ethical code practice of school administrators under Ubon Ratchathani Primary Education Service Area 1 and to compare the opinions of the teachers toward the ethical code practice of school administrators as classified by gender, position, and work experience. A total of 488 teachers were employed as the sample group of the study. The sample group size was determined by the table of Krejcie and Morgan. A 5-point rating scale survey questionnaire yielding the overall reliability coefficient of.98 was used in data collection. The statistics including percentage, mean, standard deviation, t-test, and F-test were used in data analysis. Scheffe’s test was employed when mean score difference was found. The research findings were as follows 1. The teachers’ opinions toward the ethical code practice of school administrators under Ubon Ratchathani Primary Educational Service Area 1 was found to be at a high level in the overall and in particular aspects as shown in the order from higher to lower level: self-ethics practice, service-user ethics practice, professional ethics practice, co-occupation ethics practice, and social ethics practice. 2. The comparison of the opinions of the teachers’ opinions toward the ethical code practice of school administrators under Ubon Ratchathani Primary Educational Service Area 1 as classified by gender, position, and work experience was found as follows: 2.1 The male and female teachers differently viewed the overall aspect of ethical code practice of school administrators at level .01 of significance. For the individual aspects of practice, service user ethics practice was viewed differently at level .05 of significance while the remaining aspects were viewed differently at level .01 of significance. 2.2 Those holding different position in schools were found to differently view the viewed the overall and individual aspects of ethical code practice of school administrators at level .01 of significance. 2.3 The teachers having different work experience were found to differently view the social ethics practice of school administrators at level .05 of significance, self-ethics practice, professional ethics practice, and service user ethics practice at level .01 of significance, and co-occupation ethics practice at an insignificant level. 3. The advice gained from the respondents was found in the following aspects. Self-ethics practice, the administrators should develop themselves in terms of skills, ideas, planning, and technological literacy to catch up with globalization. Professional ethics practice, the administrators should live their lives as good example to other people in schools while in and out of the school. Service users ethics practice, the administrators should promote and support the students to be good citizens and keep themselves from drugs. Co-occupational ethics practice, they should promote the teachers to develop themselves in work through new curriculum trainings and in career advancement and in higher education pursuit. Social ethics practice, the administrators should support the activities held in community and encourage the students to take part in the activities.
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี . สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
Address: อุบลราชธานี
Email: info.lib@ubru.ac.th
Role: ประธานกรรมการที่ปรึกษา
Created: 2557
Modified: 2558-01-03
Issued: 2557-12-11
วิทยานิพนธ์/Thesis
application/pdf
tha
Spatial: ไทย
©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
RightsAccess:
ลำดับที่.ชื่อแฟ้มข้อมูล ขนาดแฟ้มข้อมูลจำนวนเข้าถึง วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1 Titlepage.pdf 147.29 KB119 2025-05-17 15:12:02
2 abstarct.pdf 161.33 KB117 2024-11-16 23:07:08
3 content.pdf 153.67 KB77 2024-11-16 23:07:33
4 chapter 1.pdf 178.74 KB151 2025-09-27 15:48:44
5 chapter 2.pdf 383.54 KB213 2025-08-10 16:58:26
6 chapter 3.pdf 239.58 KB100 2025-01-19 16:37:31
7 chapter 4.pdf 284.78 KB105 2025-01-19 16:37:45
8 chapter 5.pdf 202.92 KB121 2025-01-19 16:38:11
9 appendix.pdf 259.94 KB106 2024-11-16 23:05:40
10 bibliography.pdf 183.89 KB96 2024-11-16 23:05:56
11 biodata.pdf 157.33 KB71 2024-11-16 23:06:25
ใช้เวลา
0.055516 วินาที

อาจารย์ ดร. สุวิมล โพธิ์กลิ่น
Title Creator Type and Date Create
การศึกษาความต้องการของชุมชนในการพัฒนาวัดบ้านปลาขาว ตำบลยาง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร. สุวิมล โพธิ์กลิ่น;รองศาสตราจารย์ ดร. สมาน อัศวภูมิ
อำพร พันธ์งาม
วิทยานิพนธ์/Thesis
การศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู ในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร. สุวิมล โพธิ์กลิ่น
มยุลา เนตรพนา
วิทยานิพนธ์/Thesis
การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร. สุวิมล โพธิ์กลิ่น
สุวิมล บุญลี
วิทยานิพนธ์/Thesis
การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะ ข้าราชการครู สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร. พงษ์ธร สิงห์พันธ์;อาจารย์ ดร. สุวิมล โพธิ์กลิ่น
พิรญาณ์ จุ้ยเจริญ
วิทยานิพนธ์/Thesis
Copyright 2000 - 2025 ThaiLIS Digital Collection Working Group. All rights reserved.
ThaiLIS is Thailand Library Integrated System
สนับสนุนโดย สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
328 ถ.ศรีอยุธยา แขวง ทุ่งพญาไท เขต ราชเทวี กรุงเทพ 10400 โทร. โทร. 02-232-4000
กำลัง ออน์ไลน์
ภายในเครือข่าย ThaiLIS จำนวน 2
ภายนอกเครือข่าย ThaiLIS จำนวน 1,610
รวม 1,612 คน

More info..
นอก ThaiLIS = 86,648 ครั้ง
มหาวิทยาลัยราชภัฏ = 475 ครั้ง
มหาวิทยาลัยสังกัดทบวงเดิม = 139 ครั้ง
มหาวิทยาลัยเอกชน = 56 ครั้ง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล = 31 ครั้ง
หน่วยงานอื่น = 18 ครั้ง
มหาวิทยาลัยสงฆ์ = 13 ครั้ง
รวม 87,380 ครั้ง
Database server :
Version 2.5 Last update 1-06-2018
Power By SUSE PHP MySQL IndexData Mambo Bootstrap
มีปัญหาในการใช้งานติดต่อผ่านระบบ UniNetHelp


Server : 8.199.132
Client : Not ThaiLIS Member
From IP : 216.73.216.133