Factors relating to coping patterns of caregivers of metastasis cancer patients

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับวิธีการเผชิญความเครียดของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม

Name: Somjai Navacheun

LCSH: Caregivers

LCSH: Metastasis

LCSH: Stress (Psychology)

Abstract: Modern medical science advances can improve cancer treatment. However, cancer is invasive and uncurable in many patients. Its increasing prevalence is due to working life styles, the changing social and cultural environment, and urban growth. Cancer causes suffering and affects and threatens patients,their families and the wider society: it is a public health problem and an obstacle to social and economic development. It,s treatment is more costly and time consuming than for general patients. Therefore, the family caregiver is important and essential to the care of cancer patients: many may also be greatly stressed. The purposes of the study were to examine family caregivers’ stress coping behaviors for metastasis cancer patient care and the factors related to the family caregivers’ behaviors. The subjects in the study were family caregivers of metastasis cancer patients at the outpatient unit of the National Cancer Institute between the first of February and the first of April 2004. The caregivers' characteristics of helping relationship and blood or legal relationship were considered and consents were obtained. The purposive sampling method was applied to select 270 subjects. The qualities of these tools were exmined for their validity, discrimination power and reliability. Quantitative analysis was used base on statistics, percentage, means, standard deviation and chisquare. A self-administered questionnaire was used to collect the research data. The findings indicated that most of the family caregivers (74.80%) used problem-focus stress coping behaviors. Most of them were relatives, with good mental health, holding the 30 Baht golden health card with high social support. The relation of the independent variables and the stress coping behavior was also studied. It revealed that the relationship of the family caregiver and the patient, the health insurance, family caregivers' stress levels, health status, and the available social support was statistically significant at 0.01 and affected family caregivers' coping behaviors. This study suggests that the government should continue promoting the policy of the universal health insurance coverage in response to the people's needs, including the advice on the rights. The National Cancer Institute should offer family caregivers peer group counseling in order to share the experiences of stress release. Teaching and learning materials in relation to the stress coping behaviors are needed such as the meditation, yoga, etc. The support of family members in the from of talking, providing advice, and counseling will also reduce the family caregivers' stress.The research implication is needed the study in other regional cancer institutes for the macro view. The researcher assistance is essential because the service time period of the National Cancer Institute is limited only in the morning. As a result, the limited time of data collection was seen

Abstract: แม้ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์จะมีความก้าวหน้าขึ้น แต่จำ นวนผู้ป่วยมะเร็งที่โรคลุกลามยังเพิ่มสูง ขึ้นจากวิถีการดำ รงชีวิตการประกอบอาชีพ จากสภาพแวดล้อมท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒน ธรรม รวมทั้งการเติบโตของสังคมเมือง นับว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำ คัญ เพราะต้องใช้เวลาในการรักษานาน และสูญเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าผู้ป่วยทั่วไปทำ ให้ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสเกิดความเครียดจากการดูแล ดังนั้น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการเผชิญความเครียดของญาติผู้ดูแล และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับวิธีการเผชิญความเครียดของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม กลุ่มตัวอย่างคือ ญาติผู้ดูแลหลักที่พาผู้ป่วย มะเร็งระยะลุกลามมารักษาที่ ณ แผนกผู้ป่วยนอก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระหว่างวันที่1 กุมภาพันธ์ – 1 เมษายน 2547 โดยคัดเลือกแบบเจาะจงจากบุคคลที่ดูแลผู้ป่วยและมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดผู้ป่วย จำ นวน 270 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความเที่ยงตรง , หาอำ นาจการจำ แนก และค่าความเชื่อมั่น นำ มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน และการวิเคราะห์ไคสแควร์ (Chi – Square)จากการศึกษาพบว่าญาติผู้ดูแลส่วนใหญ่ (ร้อยละ 74.8)ใช้วิธีการเผชิญ ความเครียดแบบเน้นแก้ไขปัญหา โดยญาติผู้ดูแลส่วนใหญ่เป็นญาติสายตรง มีสุขภาพจิตปกติและมีสุขภาพแข็ง แรง ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทและได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมสูง จากการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง ตัว แปรอิสระกับวิธีการเผชิญความเครียดพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างญาติผู้ดูแลกับผู้ป่วย, การมีสิทธิในการเบิกค่า รักษา,ระดับความเครียดของญาติผู้ดูแล , ภาวะสุขภาพ และแรงสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์โดยมีนัย สำ คัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ข้อเสนอแนะ รัฐบาลควรดำ เนินการสร้างหลักประกับสุขภาพให้ครอบคลุมกับความต้องการของ ประชาชนและควรให้คำ แนะนำ เกี่ยวกับสิทธิรวมทั้งการใช้สิทธิที่พึงได้รับ ส่วนด้านสถาบันมะเร็งแห่งชาติควรนำ ญาติผู้ดูแลที่ไม่มีความเครียดมาใช้เป็นกลุ่มให้คำ ปรึกษาสำ หรับญาติผู้ดูแลที่มีความเครียดจากการดูแลผู้ป่วยใน ระดับสูง โดยการจัดกลุ่ม “เพื่อนช่วยเพื่อน” ควรจัดทำ คู่มือเกี่ยวกับวิธีการลดความเครียด และควรมีการจัดกิจ กรรมคลายเครียดให้กับญาติผู้ดูแล เช่น การฝึกสมาธิ การเล่นโยคะ เป็นต้น นอกจากนี้คนในครอบครัวของญาติผู้ ดูแลควรเข้าใจและให้คำ ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆที่เกิดกับญาติผู้ดูแล จะทำ ให้ญาติผู้ดูแลสามารถใช้วิธีการ เผชิญความเครียดแบบเน้นการแก้ไขปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการ ศึกษาเพิ่มเติมในศูนย์มะเร็งที่เป็นศูนย์ภูมิภาคเพื่อให้ได้ข้อมูลในระดับมหภาค

Mahidol University

Address: NAKHON PATHOM

Email: liwww@mahidol.ac.th

Name: Praphaphan Un-ob

Role: Thesis Advisors

Created: 2004

Modified: 2553-03-31

Issued: 2010-03-19

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

ISBN: 9740455638

CallNumber: TH S696f 2004

eng

DegreeName: Master of Arts

Level: Master's Degree

Descipline: Population Education

Grantor: Mahidol University

©copyrights Mahidol University

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	4237821.pdf	1.07 MB	316	2024-02-21 23:22:54

ใช้เวลา

0.263674 วินาที