สภาพปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของ วิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

The problems and guidelines for the personnel administration of the Pakxe Buddhist University, Champasak, Lao PDR

Name: พระแสงสะหวัน สิลิจันโท

keyword: การบริหารงานวิชาการ

ThaSH: สถาบันอุดมศึกษา -- การบริหาร

Classification :.DDC: 378.07

; วิทยาลัยสงฆ์

; การบริหารสถานศึกษา

Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของวิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก เมืองปากเซ แขวงจำปาสักประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก จำแนกตาม ตำแหน่งและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน 3) เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก ประชากรที่ใช้วิจัยคือ ผู้บริหารและอาจารย์ผู้สอน วิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปีการศึกษา 2561 จำนวน 50 คนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 41 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ .91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่า z ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์จำปาสักจำแนกตาม ตำแหน่งและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน โดยรวม ไม่แตกต่างกัน 3. ปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก พบว่า 3.1 ด้านหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ ปัญหาพบว่า เนื้อหาหลักสูตรมีเนื้อหามากเกินไปและเนื้อหาบางเรื่องโดยเฉพาะวิชาพุทธศาสนายากเกินไป เช่น ภาษาบาลี ธรรมะวินัยภาษาบาลี แนวทาง คือ มีการจัดทำแผนพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องและเหมาะสมกับผู้เรียนและผู้สอนที่เป็นพระภิกษุและสามเณร โดยนำหลักสูตรจากประเทศเพื่อนบ้านมาปรับใหม่ เช่น อินเดีย พม่า และไทย อบรมอาจารย์ให้มีความรู้ด้านภาษาบาลีและไอซีทีมากขึ้น 3.2 ด้านการการจัดการเรียนการสอน ปัญหาพบว่า เวลาเรียนไม่เพียงพอเนื่องจากต้องฉันภัตตาหารเพลก่อนเข้าเรียนแต่เนื้อหาที่ต้องเรียนหลักสูตรปกติสายสามัญและยังต้องเรียนเพิ่มวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งส่งผลต่อการเรียนการสอน วิชาที่เรียนไม่เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น พลศึกษา ศิลปศึกษา แนวทาง คือ เพิ่มเวลาเรียนโดยมอบหมายงานให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองมากขึ้น เน้นการใช้สื่อไอซีที เข้ามาช่วยในการสอนให้มากขึ้น มีการปรับวิชาให้เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น พลศึกษา เป็นการเดินจงกรม ศิลปศึกษา เป็นการเทศน์ แสดงธรรมหรรษา 3.3 ด้านสื่อการเรียนการสอน ปัญหาพบว่า ยังขาดตำรา เอกสารการสอนที่ทันสมัย สื่อไม่ทันสมัย ขาดผู้เชี่ยวชาญในด้านการผลิตสื่อการสอน ห้องสมุดมีผู้เรียนเข้าใช้บริการน้อย เอกสารไม่ทันสมัย แนวทาง คือ สนับสนุนให้ผลิตสื่อการสอนในรายวิชาต่าง ๆ อย่างเหมาะสม สนับสนุนการใช้สื่อออนไลน์และอินเทอร์เนต 3.4 ด้านการวัดและประเมินผล ปัญหาพบว่า ผู้เรียนขาดความสนใจในการเรียนโดยเฉพาะวิชาทางพระพุทธศาสนา เช่น ธรรมะบาลี ซึ่งไม่สอดคล้องกับชีวิตจริงและการนำไปใช้ในอนาคต อาจารย์ผู้สอนที่เป็นพระภิกษุ มีกิจนิมนต์มาก ส่งผลต่อการประเมินผลการเรียนการสอน แนวทาง คือ ปรับวิชาเรียนให้มีความสอดคล้องเหมาะสมทันสมัยกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปมากขึ้น เช่นการประยุกต์ใช้ธรรมะบาลีกับชีวิตประจำวัน กรณีติดกิจนิมนต์ให้มีการมอบหมายงานให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าและนำเสนองานหรือการสอนชดเชย 3.5 ด้านห้องสมุด ปัญหาพบว่า ยังขาดแคลนหนังสือ ตำราที่ทันสมัยและเพียงพอต่อการใช้งานและเอกสารที่เป็นปัจจุบันทันสมัย ผู้เรียนเข้าใช้บริการน้อย แนวทางคือ จัดหาเอกสาร ตำราที่ทันสมัยและเพียงพอ สนับสนุนการใช้อินเทอร์เนตเพื่อการสืบค้น 3.6 ด้านการนิเทศภายใน ปัญหาพบว่า ยังขาดผู้เชี่ยวชาญด้านการนิเทศมาให้ความรู้ด้านการนิเทศแก่ครู ในบางวิชา เช่น คณิตศาสตร์ แนวทางคือ เชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาให้ความรู้เกี่ยวกับการนิเทศการเรียนการสอน จัดให้มีการประชุมทุกวันจันทร์ ติดตามสอบถามงานต่าง ๆ และให้ข้อคิดเห็นในการทำงานร่วมกันในทุกด้าน

Abstract: The research aimed to study the states of academic administration of the Champasak Buddhist University in Paxe, Champasak, Lao PDR, to compare the states of academic administration of the university under study as classified by positions and working experience, and to explore the problems and guidelines for academic administration of the Champasak Buddhist University. The population used in the research comprised executives and faculty members numbering 50 in the 2018 academic year. The research instruments were an in-depth interview and a five-rating scale questionnaire of a confidence value equivalent to .91. Statistics used in data analysis were percentage, means, standard deviation and Z-test. The research findings were as follows. 1. The overall academic performance of the Buddhist University in the study was at a high level. 2. A comparison of the academic administration of the Champasak Buddhist University as classified by positions and working experience did not find any difference. 3. As for the problems and guidelines related to academic administration, the following were found. 3.1 As regards the curriculum and use of the curriculum, it was found that the content was excessive and some parts, particularly related to Buddhism, were too difficult for learners. The guidelines were the curriculum should be in conformity with and suitable with learners and teachers. The curriculum should be adapted based on the curriculums used in neighboring countries like India, Burma and Thailand. 3.2 Regarding the teaching and learning management, it was found that time for study was inadequate. This was because monks and novices had to take a lunch break. In addition to learning common subjects, they were to study Buddhist subjects. The guidelines to deal with this were there should be longer period for the study. Assignments should be given to make learners study by themselves. For the set goals to succeed, new technology should be utilized. 3.3 As regards instructional media, it was found that coursebooks, and documents were not updated. The teaching media were outdated. There were no experts to produce instructional media. The solution was there should be support to produce instructional production in different disciplines. In addition, learners should be encouraged to use more online learning and the Internet. 3.4 Given the measurement and evaluation, it was found that learners were not enthusiastic to learn Buddhist subjects. Apart from this, teachers who were Buddhist monks could not totally commit themselves to the teaching task as they were engaged with other Buddhist tasks. To deal with this problem, the subjects were to be adapted suitable to conform with the changing world. Buddhist study had to be applicable to a daily life of learners. 3.5 Concerning the library, there were no updated and new texts. The books available were not sufficient for the needs of students and teachers. Importantly, very few learners had exhausted or utilized the learning source. To deal with this problem, more learning sources should be secured and attempt should be made to encourage learners to use the Internet more. 3.6 On the internal supervision, there were no experts on this discipline who were capable of giving valuable knowledge to teachers. The solution was the experts in some disciplines should be invited to train teachers.

มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ

Address: อุบลราชธานี

Email: info.lib@ubru.ac.th

Name: ไพรวัลย์ โคตรตะ

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: ชวนคิด มะเสนะ

Role: อาจารย์ที่ปรึกษา

Name: พงษ์ธร สิงห์พันธ์

Role: ประธานกรรมการ

Created: 2562

Modified: 2564-09-17

Issued: 2564-09-15

วิทยานิพนธ์/Thesis

application/pdf

tha

DegreeName: ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Level: ปริญญาโท

Descipline: การบริหารการศึกษา

Grantor: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

©copyrights มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

ลำดับที่.	ชื่อแฟ้มข้อมูล	ขนาดแฟ้มข้อมูล	จำนวนเข้าถึง	วัน-เวลาเข้าถึงล่าสุด
1	Phra Sangsawan Silijanto.pdf	1.91 MB	146	2025-10-27 17:20:58

ใช้เวลา

0.051113 วินาที